แนวคิดเรื่อง Digital Transformation (DX) ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรและเศรษฐกิจทั่วโลก และประเทศญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในผู้นำที่มีความสามารถโดดเด่นในเรื่องนี้ ความแข็งแกร่งของญี่ปุ่นในการทำ DX ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของวัฒนธรรม องค์ความรู้ โครงสร้างพื้นฐาน และวิธีคิดที่สั่งสมมานาน และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารถสร้างความได้เปรียบในการทำ Digital Transformation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. วัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นคุณภาพและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Kaizen)
หนึ่งในรากฐานสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นมีความแข็งแกร่งในการทำ DX คือ แนวคิด Kaizen หรือการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรม หลักการนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงกระบวนการผลิต แต่ยังหมายถึงการพัฒนาทุกมิติขององค์กร รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ความคิดที่ว่าทุกอย่างสามารถทำให้ดีขึ้นได้เสมอ ทำให้ธุรกิจญี่ปุ่นไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล
บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น เช่น Toyota, Sony และ Hitachi ใช้ Kaizen เป็นแนวทางหลักในการนำระบบอัตโนมัติและ AI มาใช้ในสายการผลิต รวมถึงพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ขณะเดียวกัน สตาร์ทอัพในญี่ปุ่นเองก็ใช้แนวคิดนี้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างต่อเนื่อง
2. การสนับสนุนจากภาครัฐและนโยบายเชิงรุก
รัฐบาลญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในการผลักดัน DX ผ่านนโยบายและการลงทุนด้านเทคโนโลยี เช่น การก่อตั้ง Digital Agency ในปี 2021 เพื่อเร่งการปฏิรูปดิจิทัลของภาครัฐและเอกชน เป้าหมายหลักของหน่วยงานนี้คือการลดระบบราชการที่ซับซ้อน นำเทคโนโลยีมาใช้กับการบริหารภาครัฐ และสนับสนุนให้ธุรกิจต่างๆ ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโครงการสนับสนุนให้บริษัทขนาดกลางและเล็กสามารถใช้ AI, IoT และ Cloud Computing ได้ง่ายขึ้น โดยให้เงินอุดหนุนและจัดอบรมพนักงานเพื่อลดอุปสรรคในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล
3. โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีระบบ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงเครือข่าย 5G และ IoT ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Riken, NTT Research และ AIST (National Institute of Advanced Industrial Science and Technology) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ
โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งนี้ทำให้ธุรกิจสามารถใช้ Big Data, AI และ Automation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันในระดับสากลได้
4. ระบบอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
แม้ว่าอุตสาหกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น เช่น การผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และหุ่นยนต์ จะมีรากฐานมาจากยุคอุตสาหกรรม แต่บริษัทเหล่านี้สามารถปรับตัวให้เข้ากับ DX ได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น Toyota ที่เปลี่ยนจากการเป็นบริษัทผลิตรถยนต์มาเป็น “mobility company” โดยใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะในการพัฒนา รถยนต์ไร้คนขับและระบบขนส่งอัจฉริยะ
บริษัทในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น Mitsubishi Electric และ Fujitsu ก็เร่งพัฒนาระบบ AI, IoT และ Cloud Computing เพื่อนำมาใช้ในธุรกิจของตนเองและสร้างแพลตฟอร์มที่สามารถช่วยให้ลูกค้าทำ DX ได้ง่ายขึ้น
5. วัฒนธรรมการทำงานที่เน้นความละเอียดและความแม่นยำ
แม้ว่าวัฒนธรรมการทำงานแบบญี่ปุ่นที่เน้น ความละเอียด (precision) และความแม่นยำสูง (accuracy) จะถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อความคล่องตัวขององค์กร แต่ในทางกลับกัน มันช่วยให้การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลของญี่ปุ่นเป็นไปอย่างมั่นคงและมีคุณภาพสูง บริษัทญี่ปุ่นมักไม่รีบเร่งนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาโดยขาดการวางแผน แต่จะใช้เวลาพัฒนาให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีที่นำมาใช้นั้นสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Sony และ Nintendo ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นบริษัทเทคโนโลยีอันดับต้นๆ ของโลกในแง่ของนวัตกรรมล้ำสมัย แต่กลับสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีคุณภาพสูงและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก
6. การให้ความสำคัญกับมนุษย์และสังคมใน DX
แม้ว่าการทำ Digital Transformation จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นหลัก แต่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ Human-Centric DX หรือการเปลี่ยนแปลงที่คำนึงถึงมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการพัฒนา AI และหุ่นยนต์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือและทำงานร่วมกับมนุษย์แทนที่จะมาแทนที่พนักงาน
ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราผู้สูงอายุสูงที่สุดในโลก ทำให้รัฐบาลและธุรกิจต้องเร่งพัฒนา HealthTech และ Robot Care เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และทำให้คุณภาพชีวิตของประชากรดีขึ้น ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ (Care Robots) ของ SoftBank หรือ Cyberdyne ที่ช่วยลดภาระของพนักงานดูแลสุขภา
สรุป
ญี่ปุ่นสามารถเป็นผู้นำด้าน Digital Transformation ได้เพราะมีรากฐานที่แข็งแกร่งจากวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นโยบายภาครัฐที่สนับสนุน โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่พร้อมใช้งาน อุตสาหกรรมที่สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ได้ รวมถึงแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ในกระบวนการเปลี่ยนผ่าน
แม้ว่าญี่ปุ่นจะมีความท้าทายในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เช่น ระบบราชการที่ยังคงซับซ้อน และการขาดแคลนบุคลากรด้าน IT แต่ด้วยแนวทางที่เป็นระบบและการพัฒนาที่ยั่งยืน ญี่ปุ่นยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถใช้ DX เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เขียน: ก้องปพัฒน์ กำจรจรุงวิทย์