ปัจจุบัน Business Applications ได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย องค์กรใดมองเห็นช่องทางการประยุกต์ใช้ ย่อมพบช่องทางการตลาดเพิ่มเติม หรือสามารถนำไปเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจได้ ซึ่งแนวทางจะเป็นเช่นไร คุณอมฤต ฟรานเซน ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท แอพแมน จำกัด จะมาแชร์ประสบการณ์ร่วมกับผู้อ่านทุกท่านในวันนี้
Q: ความเป็นมา และบริการของ AppMan
A: AppMan ก่อตั้งเมื่อปี 2011 เริ่มจากการเป็น software house โดยให้บริการด้านการพัฒนาซอฟแวร์ให้ลูกค้า กระทั่งปี 2014 ก็เริ่มออก product แรก คือ ePOS ซึ่งเป็น solution ด้านการขายสำหรับบริษัทประกัน เพื่อให้ทำงานง่ายขึ้น สามารถวางแผนประกันให้กับลูกค้า จนกระทั่งเสนอเบี้ยประกันให้กับลูกค้า ผ่านแอปพลิเคชั่นบน iPad ตลอดจนกรอกคำขอต่าง ๆ และแนบเอกสาร เช่น บัตรประจำตัวประชาชน และจ่ายเงิน ผ่านแอปฯ ได้เลย โดยขั้นตอนทั้งหมดจัดการได้ด้วย solution เดียว ช่วยให้พนักงานขายเพียงหนึ่งคนสามารถทำงานได้อย่างครอบคลุม และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง เราก็ได้พัฒนาบริการ SaaS หรือ Software as a Service แก่ลูกค้า มีลักษณะเป็นซอฟต์แวร์พร้อมใช้งาน ให้ความสะดวก และประหยัดต้นทุนได้มาก เช่น OCR หรือ Optical Character Recognition ที่นำ AI มาเปลี่ยนภาพให้เป็นข้อความ โดยเราใช้ OCR เข้ามาช่วยอ่านบัตรประชาชน โดยพนักงานไม่ต้องลงมือกรอกเอง ช่วยลดความผิดพลาด และลดระยะเวลาการทำงาน ซึ่ง solution นี้ เราได้ให้บริการในหลายอุตสาหกรรม ไม่จำกัดเฉพาะเพียงแต่ในกลุ่มประกันภัย แต่ยังขยายไปสู่ธุรกิจด้านการเงิน คริปโตฯ และอุตสาหกรรมค้าปลีก อีกด้วย
จากเทคโนโลยี OCR ช่วยอ่านบัตรประชาชน เราพัฒนา solution ช่วยยืนยันตัวตน หรือ E-KYC และ Background Checker หรือการตรวจสอบประวัติส่วนบุคคล
ประสิทธิภาพของ Solutions ดังกล่าว นอกจากเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าแล้ว ยังการันตีด้วยรางวัลระดับประเทศ สำหรับ OCR ทาง AppMan ได้รับรางวัล Thailand ICT Awards 2020 และในส่วน Background Checker ทาง AppMan ก็ได้รับรางวัล Thailand ICT Awards 2023
Q: จากประสบการณ์การทำงานตั้งแต่ ปี 2011 จนถึงปัจจุบัน AppMan มองว่า ปัญหาเกี่ยวกับ Business Improvement ในไทย มีอะไรบ้าง?
A: สิ่งแรกเลย ผมมองว่าหลาย ๆ อย่างที่ต้องทำธุรกรรม เราทำธุรกรรมแบบเจอหน้ากันค่อนข้างมาก ซึ่งต้องใช้เวลาทั้งในการทำงาน และการเดินทาง เพราะต้องนัดส่งเอกสาร ตรวจสอบเอกสาร ทั้งหมดใช้เวลานาน เมื่อนิยมหันมาใช้ช่องทางออนไลน์ก็มีโอกาสเจอปัญหาการปลอมแปลง ซึ่งในโลกออนไลน์ไม่ได้ปลอมกันเฉพาะบัตรประชาชนแล้วตอนนี้ แต่ยังปลอมไปถึงตัวตน หรือ account ต่าง ๆ ได้อีกด้วย เช่น บริษัทแห่งหนึ่งต้องการทำโปรโมชั่นแจกบัตรส่วนลดทางออนไลน์ ซึ่งเราจะพบว่าคนที่อยากได้ส่วนลด ก็มักจะเปิด account เป็นจำนวนมาก เพื่อนำมาใช้ชิงรางวัลส่วนลดนั้น สมมติว่าส่วนลดมีมูลค่ารางวัลละ 200 บาท เราอาจมอบให้บุคคลคนเดิมซ้ำกันหลายรางวัลโดยไม่ทราบข้อมูลจริงก็ได้ ดังนั้นต้นทุนที่เสียไปจึงไม่คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ข้อสอง การติดต่อประสานงานทางออนไลน์ยังไม่สะดวก เพราะยังติดขัดเรื่องการยืนยันตัวตน ดังนั้นจึงต้องมีบริการตัวหนึ่งออกมา ซึ่งเรียกว่า ธุรกิจยืนยันตัวตน นั่นเอง
Q: ขอให้ช่วยแนะนำการแก้ปัญหา Business Improvement ด้วย Business Applications จาก AppMan
A: Solutions เกี่ยวกับการยืนยันตัวตนของเรามีหลายฟังก์ชั่น ครบวงจรครับ ได้แก่
Remote Verification เป็นการยืนยันตัวตนผ่านวิดีโอคอล
OCR เป็นการใช้ AI ตรวจสอบบัตรประชาชน รวมทั้งพาสปอร์ต โดยบัตรประชาชนสามารถตรวจสอบได้ทั้ง Microprint, hologram, ฟอนท์ที่ใช้ ว่าถูกเปลี่ยนมาหรือเปล่า ไปจนกระทั่งเส้นสีแดงที่พาดบนเลขประจำตัว ในส่วนพาสปอร์ตชาวต่างชาติก็มีเทคโนโลยีตรวจสอบที่ละเอียดและแม่นยำ
Face Recognition ระบบจดจำใบหน้า
และถ้าหากจะให้ลึกหน่อย ก็คือ บริการ Background Checker ที่สามารถตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลในด้านต่าง ๆ เรื่อยไปจนถึงประวัติอาชญากรรม และข่าวเสียหายบนโลกออนไลน์
ผมขออธิบายขั้นตอนการทำงานของ OCR นะครับ
ขั้นแรกตรวจบัตรประชาชน ปัญหาใหญ่ ๆ ของการให้คนถ่ายรูปบัตรส่งเข้ามา คือ ภาพไม่ชัด หรือภาพเบลอ พอไม่ชัดเราก็ต้องไปขอข้อมูลมาใหม่ ซึ่งทำให้เสียเวลา แต่ระบบ AI ของเรา สามารถช่วยได้ สมมติว่าถ่ายมาไม่ชัด ถ่ายมาเบลอ ระบบจะบอกให้ถ่ายใหม่ทันทีเลย ต่อจากนั้น เมื่อได้ภาพบัตรที่ชัดมาแล้ว ระบบจะทำการ Font checking คือดูว่า อักษรหน้าบัตร มีการแก้ข้อมูลอะไรไหม หรือใช่ฟอนท์เดียวกันหรือไม่ ถัดจากนั้นระบบจะทำการตรวจเส้น Red Line ว่าถูกต้องหรือไม่ คือ ถ้าสังเกตบัตรประชาชนของเราดี ๆ จะเห็นเส้นสีแดงวิ่งตัดอยู่ มองลึกเข้าไปจะเห็นข้อความที่เขียนว่า ประเทศไทย ตรงนี้ AI ก็จะตรวจสอบว่า ถูกต้องหรือเปล่า หลังจากนั้นก็ไปตรวจสอบ hologram และสุดท้าย ตรวจสอบแผ่น Microprint
สอง เมื่อระบบตรวจสอบแล้วว่าเป็นบัตรจริง ก็จะให้ลูกค้ายืนยันตัวตน ด้วยการถ่ายภาพในมุม และอิริยาบทต่าง ๆ เข้ามา เช่น เอียงซ้าย เอียงขวา ก้มหน้า อ้าปาก กระพริบตา ปัญหาของการถ่ายภาพเคลื่อนไหว คือ ระบบอาจจับภาพคลาดเคลื่อน หรือจับภาพที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ส่งมาให้ เราจึงมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วย ซึ่งสามารถตรวจสอบคุณภาพได้ดีมาก ๆ สามารถซูมภาพ เพื่อขยับทุกจุดดูได้ว่า บุคคลนี้เป็นตัวจริงหรือไม่ เพราะแม้เราจะให้ลูกค้าถ่ายภาพเคลื่อนไหวมาเพื่อป้องกันการปลอมแปลง แต่ AI สำหรับการปลอมตัวตนก็ก้าวหน้าไม่แพ้กัน เพราะสามารถยิงวิดีโอบุคคลอื่นแทรกกล้องโทรศัพท์มือถือเข้ามาได้ หรือนำภาพบุคคลหนึ่ง มาแปะบนอีกตัวบุคคลหนึ่งก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เราจึงพัฒนาระบบตรวจสอบที่ตัดวงจรปลอมแปลงเหล่านี้ออกไป
นอกจากนี้เรายังมีบริการที่จะทำให้การยืนยันตัวตนไปถึงขั้นสุดยิ่งกว่าเดิม โดยการส่งพนักงานขับรถไปทั่วไทย เพื่อเข้าไปยืนยันตัวตนของลูกค้าถึงที่ครับ
มาในส่วนของ Background Checker หรือการตรวจสอบประวัติบุคคล ในเมื่อเรามีบริการยืนยันตัวตนที่ดีแล้ว เราก็สามารถนำเอกสารต่าง ๆ เข้าไปยื่นขอตรวจสอบกับหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม หรือสถานศึกษา เพื่อขอตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ตรวจสอบว่าจบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแห่งนี้จริงหรือไม่ มีประวัติล้มละลายมาก่อนหรือเปล่า รวมไปจนถึงการตรวจสอบข่าวเสียหายบนโลกออนไลน์
สำหรับบริการของเราเป็นแบบ full service ลูกค้าสามารถใช้งานได้สะดวก และง่ายดาย ปัจจุบันเราให้บริการกลุ่มลูกค้าแล้วมากกว่า 300 บริษัท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการเงิน อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจพลังงาน การแพทย์ ธุรกิจท่องเที่ยว โลจิสติก อุตสาหกรรมค้าปลีก และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งทุกอย่างออนไลน์เป็นดิจิตอลทั้งหมด
Q: ผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างไรบ้าง?
A: ปัจจุบัน ผู้บริหารจากองค์กรต่าง ๆ สนใจนำ Business Applications มาพัฒนาการทำงานในองค์กรกันมากครับ ขอยกตัวอย่างลูกค้าของเรา เช่น
บริษัท Fast Ship ซึ่งให้บริการขนส่งสินค้าไปต่างประเทศ จำเป็นต้องมีการตรวจสอบของผิดกฎหมาย ก่อนหน้านี้ใช้วิธีตรวจสอบบุคคลโดยการขอบัตรประชาชน ขอเอกสารแบบเจอหน้า ทำให้ใช้เวลาในส่วนนี้มาก แต่เมื่อนำ solution การยืนยันตัวตนของเราไปใช้ โดยการส่งลิงก์ให้ลูกค้า แล้วลูกค้าก็ถ่ายหน้าถ่ายบัตรของตัวเองส่งมา ส่งผลให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างปลอดภัย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งกรณี คือ กรุงไทย แอกซ่า ครับ ที่นี่มีรูปเอกสารเก็บไว้ประมาณ 26 ล้านรูป ซึ่งเขาต้องการเก็บไว้อย่างปลอดภัย ป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล โดยการปิดข้อมูลสำคัญไว้ หากใช้พนักงานทำจำนวน 26 ล้านรูป ใช้เวลา 1 ปี ก็อาจจะยังไม่เสร็จ และต้องใช้บุคลากรจำนวนมาก AppMan จึงเข้ามาช่วยโดยการใช้ AI ทำ Data marking คือให้ AI ปิดข้อมูล แล้วใช้คนเพียง 16 คนมาตรวจสอบอีกทีเท่านั้น ส่งผลให้การจัดเก็บข้อมูลรวดเร็ว และเป็นไปตาม PDPA
นอกจากนี้ในหลาย ๆ บริษัทชั้นนำ ก็เลือกใช้บริการ Background Checker ของเราในการตรวจสอบพนักงาน ทำให้เลือกพนักงานเข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจได้ตรงความต้องการ สะดวกรวดเร็ว และข้อมูลเป็นดิจิตอลทั้งหมด
Q: Business applications สามารถพัฒนาการทำงานภายในองค์กรได้อย่างไร?
A: คงต้องยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดยิ่งขึ้นครับ ขอยกกรณีบริการยืนยันตัวตนด้วยวิดีโอคอล ของบริษัท โตเกียวมารีน เราได้เอาวิดีโอคอลเซอร์วิส ไปทำการตรวจสภาพรถยนต์ คือ ตรวจสภาพรถผ่านวิดีโอคอล ดังนั้นเมื่อยืนยันตัวตนผ่านวิดีโอคอลแล้ว ก็ให้ถ่ายภาพรถมาด้วย เพื่อทำการเคลมได้อย่างสะดวกขึ้น ภายในเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัทสามารถตรวจสภาพรถได้มากกว่า 4,000 คัน เพราะแต่ละคันใช้เวลาเพียง 5 นาที เท่านั้น จึงทำให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น และการทำวิดีโอคอลเซอร์วิส เพื่อยืนยันตัวตน แล้วตรวจสภาพรถยนต์ช่วยกระตุ้น Net Promoter Score จาก 37% ขึ้นมาที่ 59% ซึ่งกระโดดขึ้นมาเกือบ 2 เท่าเลยทีเดียว และนี่คือการยืนยันตัวตนที่สามารถเปลี่ยนวิธีบริการลูกค้า หรือการทำธุรกรรมของลูกค้าในแบบใหม่ ๆ ได้ดีขึ้นครับ
ผู้สนใจ Business Solutions จาก AppMan สามารถเข้าชมเว็บไซต์ https://www.appman.co.th/ และติดต่อสอบถามผ่านทางเว็บไซต์หรือช่องทางที่ระบุไว้ได้ทันที
*********