MarTech

Marketing

Innovation

Digital

22.12.2021

【MarTech】Marketing will change your company after COVID-19 disaster (Part-2)

Marketing will change your company after COVID-19 disaster (Part-2)

Digital Marketing คืออะไร หลายคนยังไม่สามารถแยกความต่างของ Online Marketing และDigital Marketing ได้ว่าแตกต่างกันอย่างไร ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่อง Marketing ก่อน Marketing คือ การทำการตลาด ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ ยุคเก่า (Traditional Marketing) โดยใช้การประชาสัมพันธ์ให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าและผู้บริโภคผ่านสื่อต่าง ๆ ที่ไม่ใช่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และยุคใหม่ (Digital Marketing) คือการที่แบรนด์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าและผู้บริโภคผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับคำว่าOnline Markeintg จะเห็นได้ว่า Online Marketing นั้นเป็นส่วนหนึ่งของDigital Marketing แต่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการเชื่อมต่อด้วย เช่น การเข้าเว็บไซต์ การส่งอีเมล ขายของทาง social media เป็นต้น

ต่อไปคือ Digital Transformation ว่าในปัจจุบันมีการดำเนินการอย่างไร ต้องบอกเลยว่าตอนนี้การใช้สมาร์ทโฟนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ โดยมีการใช้งานดังต่อไปนี้ เล่นโซเชียล ค้นหาข้อมูล อ่านข่าว และดูทีวี เมื่อดู 2 อันดับแรกจะเห็นว่ามีการใช้เล่นโซเชียลและการค้นหาเยอะ เราจึงจะนำมาทำการตลาดเชิงรุกเชิงรับ อันดับแรกขอพูดถึงการตลาดเชิงรับก่อน ก็คือการใช้เครื่องมือ google ในการดักคีย์เวิร์ดว่าผู้บริโภคกำลังค้นหาอะไร แล้วทำอย่างไรถึงจะหาเราพบ ซึ่ง google มีเครื่องมือตัวหนึ่งที่ชื่อว่า google trend เราสามารถดูเทรนด์การค้นคีย์เวิร์ดคำต่าง ๆ ได้ และก็สามารถนำมาวางไว้ในแพลตฟอร์มของเราได้ทุกช่องทางเพื่อให้ค้นหาแล้วเจอเรา เหล่านี้เรียกว่าการตลาดเชิงรับ ต่อไปคือการตลาดเชิงรุก คือ การจะขอยิงโฆษณา บรอดแคสต์เข้าไปยังผู้บริโภค จะขอยกตัวอย่าง Facebook เลยนะคะ ที่เราติด Facebook เขารู้จักเราเป็นอย่างดีจึงแสดงสิ่งที่เราสนใจบนหน้ากระดานข่าวของเรา

ซึ่ง Facebook นั้นจะมีประเภทดังนี้ คือ โพรไฟล์(ส่วนตัว) แฟนเพจ กลุ่ม โดยเหล่านี้สามารถใช้ทำธุรกิจส่วนตัวได้ ดังนี้

  1. เฟสส่วนตัว รูปปกต้องสื่อถึงธุรกิจที่ทำ ไม่โพสต์เรื่องทางลบ โดยโพสต์เรื่องการทำงานหรือไลฟ์สไตล์สลับกัน รวมถึงเรื่องราวที่สร้างเครดิตให้เราน่าเชื่อถือ
  2. เฟสกลุ่ม community ต่าง ๆ เราสามารถเข้าไปเป็นสมาชิกหรือสร้างกลุ่มขึ้นมาเองได้ โดยเทรนด์ในช่วงหลังนี้เป็นการทำการตลาดใน Facebook กลุ่ม เพราะในกลุ่มมีการเลือกลูกค้าไว้ให้เราแล้ว หากอยากทำการตลาดกับกลุ่มไหนให้เข้าไปอยู่กลุ่มนั้น เวลาเข้าไปก็ต้องเข้าไปดูนโยบายของกลุ่ม หรือว่ากลุ่มนั้นแอคทีฟรึเปล่า แล้วถึงหาวิธีประชาสัมพันธ์ หรือหรือหาวิธีสร้างคอนเนคชันกับคนในกลุ่มของเรา
  3. แฟนเพจ ซึ่งการใช้แฟนเพจเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก ๆ ซึ่งอยากจะให้โฟกัสยอดการเข้าถึง ในทุก ๆ ครั้งที่โพสต์ อย่าลืมมอนิเตอร์ว่าโพสต์เราเข้าถึงคนกี่คน ยิ่งคอนเทนต์ของเรามีคุณภาพมากแค่ไหน Facebook ก็จะผลักโพสต์เราให้มีคนเห็นมากยิ่งขึ้น ยอดการเข้าถึงก็จะสูงขึ้น

หัวใจหลักที่จะทำ Facebook ให้สำเร็จคือการทำคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ซื้อโฆษณาให้เข้าถึงคนจำนวนมาก ต่อจาก Facebook คือ Line Official Account ซึ่งมีเสน่ห์มาก ๆ เพราะปัจจุบันนอกเหนือจากไลน์ส่วนตัวแล้วก็ยังมีสำหรับธุรกิจเช่นกัน เสน่ห์ของเค้าคือสามารถสื่อสารได้แบบ one to multiple และ one on one แชท มีแอดมินได้หลายคน ดูสถิติหลังบ้านได้ มี feature สนับสนุนทางการตลาด และเป็นรูปแบบฟรีเมี่ยม (ให้ใช้ฟรีแต่ถ้าอยากใช้ฟีเจอร์ที่พรีเมี่ยมค่อยจ่ายเงิน) และที่สำคัญมากคือ เค้ามี business ecosystem หรือมีวงจรการทำธุรกิจ เนื่องจากจำนวนผู้ใช้งานไลน์ในไทยมีถึง 50 ล้านคน ทำให้มีการสร้างการตระหนักรู้ของแบรนด์ผ่านทางแพลตฟอร์มไลน์ สื่อสารกันผ่านทางการบรอดแคสต์และการพูดคุย และปิดการขายที่ MyShop (ระบบร้านค้าออนไลน์) ซึ่งวันนี้การซื้อโฆษณาบนไลน์ก็จะแสดงผลในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น แชทลิสต์ ทามไลน์ ไลน์ทูเดย์ ไลน์ทีวี วอลเล็ตแทป และล่าสุดคือโอเพ่นแชท

YouTube ไม่พูดไม่ได้เลยเพราะมาเป็นอันดับหนึ่งของไทย โดยมีผู้ใช้งานที่อายุมากกว่า 18 ปี ถึง 37 ล้านคน หรือคิดเป็น 54% ของประชากรในประเทศไทย ล่าสุด YouTube ได้ออกยูทูปชอตส์ ซึ่งมีลักษณะคล้าย TikTok คือเป็นวิดีโอแนวตั้งที่มีความยาวไม่เกิน 60 วินาที คิดว่าเพราะเค้ารู้ว่าเทรนด์ของคอนเทนต์รูปแบบนี้กำลังได้รับความนิยม เพราะ TikTok มีการเติบโตสูงมาก โดยมียอดดาวน์โหลดแซงหน้าFacebook ไปแล้ว ปัจจุบันมีเฟสบุ๊ครีลส์ที่กำลังทดลองใช้ที่อเมริกา อีกไม่นานคนไทยน่าจะได้ใช้กัน ก็คล้ายกับ TikTok คือเป็นวิดีโอสั้นๆในแนวตั้ง
Instagram เป็นกลุ่มเฉพาะมากเลย โดยมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่อายุ 13-34 ปี เพราะกลุ่มนี้มีกำลังซื้อมากกว่าแพลตฟอร์มอื่น พร้อมจ่ายหากสินค้าถูกใจ และชอบในคอนเทนต์ที่เป็นรูปภาพวิดีโอ เพื่อผ่อนคลาย ส่วนสินค้าที่ขายได้จะเป็นพวกแฟชั่น ความงาม ดีไซน์

ท้ายสุด อยากจะพูดถึงคุณ Alvin Toffler ซึ่งเป็นนักเขียนได้กล่าวไว้ว่า “คนเราต้องรู้จัก Learn Unlearn และ Relearn ซึ่งแต่ละคำมีความหมาย ดังนี้

  • Learn คือ การที่เราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติมความรู้ตลอดเวลา
  • Unlearn คือ การที่เราไม่ยึดติดกับสิ่งที่เราคือรู้มา เพราะสิ่งที่เราเคยเรียนรู้มาอาจจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว
  • Relearn คือ การเรียนรู้สิ่งที่เคยรู้แล้วด้วยมุมมองใหม่

อย่าลืมนะคะว่าโลกปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาเราจึงต้องมีการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ คุณอัลวินเคยบอกว่า “คนไร้การศึกษาของศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่คนอ่านไม่ได้เขียนไม่ออก แต่เป็นคนที่ไม่สามารถจะเรียนรู้แล้วลบสิ่งที่เรียนรู้มาเพื่อเรียนรู้ใหม่นั่นเอง” ท้ายสุดแล้วก็อยากจะบอกว่า 100 คนรู้ 10 คนทำ 1 คนสำเร็จ วันนี้ทุกคนรู้เท่า ๆ กัน แต่จะมีแค่ 10% เท่านั้นที่นำสิ่งที่รู้ไปลงมือทำ และมีเพียง 1%เ ท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ

SHOW CASE

RELATED ARTICLES

RECOMMEND